สำหรับดินที่มีปัญหาทางด้านการเกษตรในเขตดินที่มีศักยภาพต่ำสำหรับการเกษตร สาเหตุอาจเกิดขึ้นเองตามสภาพธรรมชาติ และเกิดจากการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส่งผลให้สมบัติดินเปลี่ยนแปลงจนเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของพืช และทำให้ผลผลิตพืชลดลง นอกจากนี้ ยังพบดินที่มีปัญหาทางการเกษตรที่เกิดจากการปนเปื้อนสารเคมีจากการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การทิ้งขยะและของเสียในดินการใช้ปุ๋ย สารกำจัดแมลงและศัตรูพืช ผิดวิธี หรือการลักลอบใช้สารที่ห้ามใช้ทางการเกษตร การปล่อยน้ำเสียและการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีจากโรงงานและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ รวมไปถึงการทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ทำให้ดินเป็นแหล่งสะสมสารเคมีตกค้างในพื้นที่การเกษตรและบริเวณใกล้เคียง สำหรับประเทศไทยมีการนำปุ๋ยเคมีมาใช้บำรุงดินอย่างต่อเนื่อง และ ใน พ.ศ. 2564 สถานการณ์การนำเข้าปุ๋ยเคมี[1] พบว่า มีปริมาณรวมทั้งสิ้น 5,520,883 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.39 จาก พ.ศ. 2563 ที่มีการนำเข้าปุ๋ยเคมีรวม 5,141,068 ตัน อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า ปริมาณการนำเข้าปุ๋ยเคมีโดยรวมมีแนวโน้มลดลง (กรมวิชาการเกษตร, 2565)

[1] สถานการณ์ปริมาณสารเคมีที่ตกค้างในพื้นที่การเกษตรและบริเวณใกล้เคียง เกิดจากการใช้ประโยชน์ที่ดินทางการเกษตร โดยเฉพาะการใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อการบำรุงดิน และการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร เช่น สารกำจัดวัชพืช เป็นต้น ทั้งนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึง พ.ศ. 2564 ยังไม่พบข้อมูลการศึกษาสถานการณ์ปริมาณสารเคมีที่ตกค้างในพื้นที่การเกษตรในภาพรวมของประเทศไทยที่รวบรวมและเผยแพร่อย่างเป็นระบบ รวมทั้งยังไม่มีหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรง ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดข้อจำกัดในการนำเสนอข้อมูลสถานการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปริมาณสารเคมีที่ตกค้างในพื้นที่การเกษตร คือ สถานการณ์ปริมาณการนำเข้าปุ๋ยเคมีและวัตถุอันตรายทางการเกษตรจากต่างประเทศ ซึ่งสามารถสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางอ้อมในการใช้ปุ๋ยเคมีและวัตถุอันตรายทางการเกษตรที่ก่อให้เกิดสารเคมีตกค้างในดิน